"วิชาคณิตศาสตร์"
อาจจะเป็นยาขมสำหรับใครหลายๆ คนในช่วง วัยเรียน เพราะเป็นวิชาที่มีเรื่องของตัวเลข
มีสัญลักษณ์รูปทรงแปลกๆ ซับซ้อนเข้าใจยาก ต้องใช้ทักษะทั้งความจำ และการคิดคำนวณ
จึงกลายเป็นอีกหนึ่งวิชาเด็กส่วนใหญ่ "ส่ายหน้า" ไม่อยากเรียน
แต่สำหรับ "โรงเรียนชุมชนบ้านท่าสองยาง" อำเภอท่าสองยาง
จังหวัดตาก ที่แม้จะตั้งอยู่ประชิดติดแนวชายแดนไทย-พม่า และ
เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยง แต่วิชา
"คณิตศาสตร์"กลับไม่ใช่ปัญหาเพราะที่โรงเรียนแห่งนี้ใช้วิธีบูรณาการการสอนแบบ
โครงงาน จนสามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์
จนได้รับรางวัลการแข่งขันในระดับประเทศมากมาย
แม้ "ทักษะวิชาการ" จะไม่น้อยหน้าโรงเรียนใหญ่ในเมือง
แต่ปัญหา "ปากท้อง" ก็มีความสำคัญไม่น้อยที่ส่งผลต่อ
"การเรียนรู้" ของเด็กๆ ดังนั้นการหา "อาชีพเสริม"
ในระหว่างเรียนจึงเป็นอีกหนทางหนึ่ง ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว
"โครงการคณิตสู่รายได้" ภายใต้โครงการ "ส่งเสริมนวัตกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ"
จึงเกิดขึ้นเพื่อสร้างรายได้เสริม เพิ่มโอกาสการเรียนรู้ จากงาน
"คณิตศิลป์" ที่บูรณาการศิลปะ ทักษะอาชีพ ควบคู่ไปกับวิชาคณิตศาสตร์
โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน
(สสค.) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
"นางศิริรัตน์ คำแก้ว"
ครูผู้รับผิดชอบโครงการฯ เปิดเผยว่า
ที่ผ่านมาเคยได้รับรางวัล "ทุนครูสอนดี" จาก สสค. โดยทุนที่ได้รับได้
นำมาพัฒนาเป็น "ศูนย์ฝึกเบเกอรี่ชุมชน" เพื่อสร้างอาชีพสร้างรายได้
ให้กับเด็กนักเรียนและผู้ปกครอง แต่โครงการดังกล่าวยังไม่สามารถสร้าง
รายได้ให้เด็กๆ ได้ครบทุกคน เพราะเป็นการฝึกทักษะอาชีพวันอาทิตย์
ซึ่งในวันหยุดมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ต้องไปช่วยผู้ปกครองทำงานในไร่ในสวนของที่บ้าน
จึงคิดว่าน่าจะมีอาชีพที่พวกเขาสามารถ "ทำอยู่ที่บ้าน" ในยามว่างได้
ประกอบกับเป็นครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ จึงนำเอาลวดลายหรือรูปทรงทาง
เรขาคณิตพื้นฐานทั้ง 8 ลาย ที่ประกอบ ไปด้วย รูปทรงวงกลมแบบที่ 1 และ แบบที่ 2, รูปทรงสามเหลี่ยมแบบที่ 1 และสามเหลี่ยมแบบที่ 2, รูปทรง สี่เหลี่ยมผืนผ้า,
รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส รูปทรงแปดเหลี่ยม และ รูปหัวใจและนำ
"ลายประยุกต์" อีก 20 ลวดลาย
มาผสมผสานกับการเย็บปักถักร้อยด้วยเส้นด้ายหลากสีสัน จนเกิดเป็นงานศิลปะที่มีความสวยงามแปลกตา
"งานคณิตศิลป์เป็นการเอาเส้นตรงมาทำให้เกิดเป็นรูปร่างและรูปทรงต่างๆ
ขึ้นมา พูดง่ายๆ ว่าเป็นการสร้างรูปภาพต่างๆ ขึ้นมาจากรูปทรงทางเรขาคณิต
แทนที่จะใช้ การขีดเส้นก็เปลี่ยนมาเป็นการปักเส้นด้ายเป็นเส้นตรงไปตามจุดต่างๆ
ที่กำหนดไว้ ปักซ้อนทับ ผสมผสานกันระหว่างรูปทรงต่างๆ จนขึ้นเป็นภาพ
ตรงนี้เด็กนักเรียนก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องรูปทรงเรขาคณิต การวัด คู่อันดับ
ฯลฯ สอดแทรกเข้าไปโดยไม่รู้ตัว อย่างน้อยก็ทำให้เด็กไม่กลัววิชาคณิตศาสตร์
มองเห็นความสวยงามในวิชาคณิตศาสตร์ เรียนหนังสือได้อย่างมีความสุข
ซึ่งในอนาคตเขาก็สามารถต่อยอดพัฒนาไปเป็นอาชีพได้ในกรณีที่อาจจะไม่ได้เรียนต่อ เพราะลงทุนน้อยมีแค่กระดาษ
ด้ายและเข็มเท่านั้น" ครูศิริรัตน์กล่าวน.ส.ศรีวรรณ เพียรตา หรือ
"ดาว" นักเรียนชั้น ม.3 เล่าว่า รูปภาพต่างๆ
ที่เกิดขึ้นมานั้น เกิดจากเส้นตรงหลายๆ เส้นที่มาวางซ้อนกัน
จนดูเหมือนว่าเป็นเส้นโค้ง ครั้งแรกที่เห็นทุกคนจะพูดเหมือนกันว่าน่าจะยาก
แต่พอได้รู้วิธีการและได้ลงมือทำจริงๆ แล้วไม่ได้ยากอย่างที่คิด
เพียงแต่เราจะต้องรู้จักลายพื้นฐานทั้ง 8 ก่อน
ไม่อย่างนั้นก็จะไม่สามารถปักลายได้
"การผลิตงานคณิตศิลป์นอกจากจะทำให้มีรายได้ระหว่างเรียนแล้ว
ยังทำให้เราใจเย็นขึ้น มีสมาธิมากขึ้น เพราะการปักด้ายต้องตั้งใจ ทำอย่างประณีต
ใจร้อนก็ไม่สามารถปักได้ เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
จากที่ไม่เคยชอบวิชาคณิตศาสตร์
ตอนนี้ก็รู้สึกว่ามีความน่าสนใจมากขึ้น"น้องดาวบอก
น.ส.ณิชกานต์ กออนันตเลิศ หรือ
"น้อย" นักเรียนชั้น ม.3 กล่าวเสริมว่าการเรียนรู้เรื่องลวดลายพื้นฐานนั้น
ใช้เวลาในวันหยุดเสาร์อาทิตย์เพียงแค่สัปดาห์ละ 1 วัน
มาประมาณ 2 ครั้งก็สามารถทำได้แล้ว
แต่สำหรับลวดลายประยุกต์นั้นอาจจะต้องใช้ทักษะฝีมือและประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น
"ลายประยุกต์ต้องฝึกหัดกันบ่อยๆ ถึงจะทำได้คล่อง
ส่วนมูลค่า ของชิ้นงานแต่ละชิ้นจะถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับความละเอียด ความยากง่าย
และเรียบร้อยของชิ้นงาน งานที่มีลวดลายละเอียดสีสันสวยงามที่ปักในกระดาษ ขนาด เอ 4
จะจำหน่ายพร้อมใส่กรอบรูปในราคา 250 บาท"
น้องน้อยกล่าวด.ญ.กชนุช ดารากมล หรือ "มูพอ" นักเรียนชั้น ม.2 เล่าว่า แรกๆ ก็ไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์ แต่พอเห็นชิ้นงานของพี่ๆ
ที่ทำออกมาก็เกิดความสนใจ เพราะนอกจากจะสวยงามแล้วก็ยังขายได้ด้วย
ที่สำคัญยังได้ออกไปแสดงฝีมือและขายผลงานยังสถานที่ต่างๆ ที่ไม่เคยไป
"การทำงานตรงนี้ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ
ในวิชาคณิตศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน เช่น เรื่องเส้นตรง เส้นโค้งคู่อันดับ การกำหนดจุด
การแปลงค่าทางเรขาคณิต การสะท้อน เรื่องคู่อันดับ กราฟ สถิติ
ที่สามารถนำไปใช้ในห้องเรียนได้
และยังเป็นการนำเอาเรื่องของศิลปะมาผสมผสานให้เกิดชิ้นงานที่มีความสวยงามและ
ความน่าสนใจ" น้องมูพอบอกซึ่งในตอนนี้ทั้ง 3 คนเล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิใจว่ามีเงินรายได้ที่เก็บสะสมจากการผลิตชิ้นงานต่างๆ
เฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าคนละ 1,000 บาท
ซึ่งเงินเหล่านี้จะถูกแปรสภาพไปเป็นหุ้นในสหกรณ์ออมทรัพย์ของโรงเรียนเพื่อเก็บไว้ใช้เป็น
"ทุน" สำหรับการศึกษา ต่อหรือประกอบอาชีพในอนาคตเมื่อพวกเขาจบการศึกษา
นอกจากนี้ ผลงาน "คณิตศิลป์" ของโรงเรียนแห่งนี้ยังถูกต่อยอดพัฒนาเป็น
ผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาทิ แก้วกาแฟ พวงกุญแจ จานรองแก้ว แผ่นจิกซอว์ ฯลฯ
ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในระหว่างการประสานงานเพื่อพัฒนาเป็นสินค้า OTOP ของอำเภอ พร้อมจัดหาสถานที่จำหน่าย
ซึ่งจะทำให้การดำเนินโครงการเกิดความยั่งยืน และสร้างรายได้เสริม
ที่มั่นคงสำหรับเด็กๆ มากยิ่งขึ้น
"คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ถูกมองว่าเป็นวิชาที่เกี่ยวกับตัวเลขมีความยากและซับซ้อน
แต่ศิลปะถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถดึงดูดความสนใจของนักเรียนให้มีความชอบที่จะเรียนมากขึ้น
เพราะศิลปะเป็นวิชาที่ไม่มีผิดไม่มีถูก ทุกคนสามารถเรียนได้
อย่างน้อยที่สุดเด็กก็จะเกิดเจตคติที่ดีกับวิชาคณิตศาสตร์
แต่สิ่งเหล่านี้คงไม่ได้ช่วยให้ เขาเรียนเก่งขึ้นแบบเห็นความแตกต่างชัดเจน
แต่จะช่วยให้เขาได้เรียนรู้ เรื่องราวต่างๆ ในวิชาคณิตศาสตร์ผ่านการผลิตชิ้นงาน
แม้ว่าเขาจะจบออกไปแล้วไม่ได้เรียนต่อ
ต้องไปช่วยงานบ้านเขาก็สามารถที่จะมีรายได้จากการผลิตชิ้นงานในยามว่าง
เป็นอาชีพเสริมที่มองเห็นรายได้ ชัดเจน" ครูศิริรัตน์กล่าวสรุป
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า